

คานแบบไหนเรียก H-beam คานแบบไหนเรียก I-beam
เมื่อเราพูดถึงงานโครงสร้าง "คาน" หรือ beam คือพระเอกที่ใช้รับน้ำหนักแนวขวาง ทำให้คานเสียหายได้ 2 แบบ คือ
1. การดัด (Bending) เหมือนเอาดินสอมาดัด มันจะงอ และหักออกจากกัน
2. การเฉีอน (Shearing) เหมือนเอามือกดก้อนเต้าหู้ มันจะขาดจากกัน
จากการใช้งาน ทดลอง และวิจัยมาหลายศตวรรษ พบว่าคานที่หน้าตัดเป็นรูปตัว I หรือตัว H ตะแคง เป็นรูปแบบคานที่พังยากที่สุดคานที่ทำวัสดุเดียวกัน เช่น เหล็กเหมือนกัน หรือไม้ชนิดเดียวกัน และใช้ปริมาณเนื้อวัสดุเท่ากัน หน้าตัดที่เป็นรูปตัว I หรือ H ทนที่สุด

H-beam เป็นคานที่มีหนัาตัดเป็นรูปตัว H ตะแคง หรือหมุน 90º มีส่วนปีก (flange) ที่กว้างและปีกหนาเท่ากันตลอด ตามมาตรฐานสากลเรียกว่า Wide Flange Beam (W-beam) ในประเทศไทยมาตรฐาน มอก. เรียกว่า H-beam
ปีกที่กว้างของ H-beam ทำให้รับการดัดได้ดี นิยมใช้ในงารโครงสร้างทั่วไป เช่น คานหลัก เสาโครงสร้าง คานหลังคา และงานก่อสร้างอาคาร เนื่องจากรับได้ทั้งแรงดัดและแรงอื่น ๆ

I-beam มองเผิน ๆ เหมือน H-beam แต่มีส่วนปีก (flange) ที่แคบกว่าและปีกหนาไม่เท่ากัน ส่วนใกล้ๆแกนกลางจะหนา ส่วนปลายปีกจะบาง มาตรฐานสากลเรียกว่า S-Shape Beam
เนื้อปีกที่เทมาทางแกนกลางทำให้รับแรงเฉือนได้ดี นิยมใช้ในงารเฉพาะทาง เช่นคานของเครนยกของในโรงงาน หรือส่วนที่ต้องรับแรงเฉือนมากๆ
H-beam ปีกกว้าง และหนาเท่ากัน นิยมใช้รับแรงดัดและแรงเฉือน I-beam ปีกแคบ และโค้งมน นิยมใช้รับแค่แรงเฉือน